Natee Utarit

ความงามของภูมิทัศน์ของฟอร์ด เคนนิ่ง ยามที่ นที อุตฤทธิ์ จิตรกรไทยผู้สร้างสรรค์ผลงานมีชื่อเสียงในเวทีระดับสากล มองผ่านหน้าต่างชั้น 30 ของโรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์

ชวนให้เขาคว้าพู่กันวาดภาพลงบนผืนผ้าใบเพื่อบันทึกเรื่องราวนั้นไว้ และเป็นที่มาของนิทรรศการผลงานชื่อว่า Untitled Poem of Theodore Rousseau จัดแสดง ณ Tang Contemporary Art  เดอะ เพนนินซูล่า พลาซ่า ราชดำริ

“หลังจากผมทำงานศิลปะที่มีเนื้อหา มีสัญญะ การอุปมาอุปมัยมากมายมาสักระยะหนึ่ง ผมอยากพักการทำงานเชิงแบบนี้ เปลี่ยนรูปแบบการทำงานเรียบง่าย ตรงไปตรงมา พอเรามีชุดความคิดแบบนี้ งานแลนด์สเคปเพ้นท์ติ้งก็เริ่มต้นแบบจะเรียกว่า ‘แอคซิเดนท์’(accident) ก็ได้ เผอิญผมไปที่สิงคโปร์ พักอยู่ในโรงแรมชั้นที่ 30 ผมมองลงมาเห็นเขตอนุรักษ์ เห็นสวนสาธารณะที่เป็นกึ่งป่ากึ่งสวน ที่เขาเรียกว่า ฟอร์ด เคนนิ่ง ในประเทศสิงคโปร์ ผมลองใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ ปรากฏว่าภาพในโทรศัพท์มือถือให้ภาพที่สวยงาม แต่ต่างจากภาพที่ตาเราเห็น เพราะภาพถูกปรุงแต่งแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น เราลองใช้วิธีดั้งเดิมในการบันทึกภาพ ก็คือการเขียนรูป เลยลงไปที่ร้านเครื่องเขียน ซื้ออุปกรณ์ทั้งหมด ใช้ห้องในโรงแรมเป็นสตูดิโอนาน 1 สัปดาห์…

ก็ลำบากเหมือนกัน  กลัวเขาจะเข้ามาทำความสะอาด เราต้องเอาป้ายไปแขวนว่าอย่าเข้ามายุ่งนะ ก็เกรงว่าเขาจะได้กลิ่นสีน้ำมัน ผมได้ผลงานจำนวนหนึ่งท่ี่พอใจพอสมควร รู้สึกว่าการกลับมาทำงานจิตรกรรมที่เป็นการโต้ตอบแบบไดเรคในสิ่งที่เรามองสิ่งๆ หนึ่ง นำเสนอแล้วถ่ายทอดออกมา วิธีที่เรียบง่ายแบบนี้เป็นวิธีที่เราไม่ทำมานานแสนตั้งแต่เรียบจบมา จนเราแทบลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ หลังจากนั้นผมกลับกรุงเทพฯ แล้วกลับมาที่สิงคโปร์ในอีกสองอาทิตย์ถัดมา โดยไปที่ ฟอร์ด เคนนิ่ง อยู่ในป่านั้นจริงๆ ก็ทำงานได้อีกชุดหนึ่ง…

แล้วกลับมาที่เมืองไทย ลองเขียนแลนด์สเคปเพ้นท์ติ้งที่กรุงเทพฯ บ้าง โดยเขียนภาพวิวทิวทัศน์จากสตูดิโอที่ผมอยู่ แล้วมองผ่านช่องหน้าต่าง ก็ได้งานอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งการทดลองทั้งหมดก็คิดได้ว่า งานในลักษณะนี้ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีของการทำงานของตัวเอง”

ภาพแลนด์สเคปไม่ได้ทำให้นทีหยุดอยู่เพียงเท่านั้น เขาเดินทางต่อไปยังฝรั่งเศส ประเทศแห่งต้นกำเนิดงานศิลปะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราว

“แต่เดิมภาพจิตรกรรมวิวทิวทัศน์ มักถูกวางไว้ในระดับที่ไม่มีคุณค่าสูงมากนัก จากการประเมินคุณค่าของซาลองในฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 17 ว่า  ภาพหุ่นนิ่ง พวกดอกไม้ในแจกันมีคุณค่าในระดับเริ่มต้น สูงขึ้นมาก็จะเป็นภาพทิวทัศน์ ภาพเหมือนบุคคล ภาพชีวิตประจำวัน ไล่ไปจนถึงระดับสูงที่สุด คือภาพเทพปกรณัม หรือภาพที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์…

ทีนี้เรามาดูที่ภาพทิวทัศน์ ช่วง 100-200 ปีที่ผ่านมา สาเหตุที่ภาพถูกประเมินค่าไว้ต่ำ เพราะเขามองว่า ภาพทิวทัศน์เป็นเพียงพื้นหลังของรูปเขียน ไม่สามารถนำเสนออะไรด้วยตัวเองได้ เหมาะสำหรับศิลปินหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มสร้างสรรค์ผลงาน หรือจิตรกรหญิงผู้ถูกกำหนดให้เป็นผู้มีสถานะด้อยกว่าเพศชาย กระทั่งมีจิตรกรฝรั่งเศสกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้  กลับเชื่อว่าภาพทิวทัศน์มีศักยภาพมากพอที่จะพูดสิ่งต่างๆ ออกมาได้…

พวกเขาเลยมาทำงานในป่าฟงแตนโบล (Fontainbleau) ริเริ่มนำเสนอภาพทิวทัศน์ ภายใต้แนวคิดทัศนคติของตัวเองขึ้นมา ซึ่งจากการทำงานของคนกลุ่มนี้ ได้รับการพัฒนาโดยกลุ่มคนรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสต์โดยแวนโก๊ะ โมเน่ต์ มาเน่ต์  นั่นอาจพูดได้ว่า ศิลปินกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์เป็นหนี้บุญคุณจิตรกรในยุคบุกเบิก ช่วยให้ผู้คนเห็นว่าภาพจิตรกรรมทิวทัศน์เป็นตัวแทนของจิตรกรในการแสดงออก ทั้งเรื่องแสง บรรยากาศ วีถีชีวิตคนในฝรั่งเศส ทำให้สถานะของภาพทิวทัศน์มีคุณค่าสูงขึ้น และการที่ผมไปที่ป่าฟงแตนโบล ก็เพื่อย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของการบุกเบิกการทำแลนด์สเคปเพ้นท์ติ้งในยุคสมัยใหม่ ผมรู้สึกว่า ถ้าผมจะต้องทำแลนด์สเคปเพ้นติ้งเพื่อศึกษาถึงต้นทางของมัน ก็ควรกลับไปที่ป่าแห่งนี้แล้วทำงานศิลปะที่นั่น”

ภายในหนึ่งปีที่นทีใช้เวลาอยู่ในป่าฟงแตนโบล เขามองเห็นความแตกต่างของฤดูกาล เป็นความงามและเรื่องราวที่อยากส่งต่อไปยังผู้คนมากมาย

“ผมไปฟองเตนโบลทั้งหมดสามทริปในรอบหนึ่งปี เช่าสตูดิโออยู่ที่นั่นแล้วออกไปวาดภาพทุกเช้า ความเงียบสงบ ทำให้เราเห็นความเป็นไปได้มากมายเกี่ยวกับการทำงานจิตรกรรมทิวทัศน์ หลายครั้งที่ผมเห็นภาพ เป็นภาพเดียวกับภาพเขียนที่เห็นในพิพิธภัณฑ์ ผมยังจำได้ว่า ภาพหนึ่งทำให้ผมขนลุก ตกใจที่ได้เห็นภาพพระอาทิตย์ตกดินในฝรั่งเศส มันตกฟลุ้บไปเลย ผมเข้าใจว่าแสงสุดท้ายจากการเห็นตรงนั้น แสงก่อนลับขอบฟ้า มันสาดไปที่ต้นโอ๊กกลุ่มหนึ่ง แล้วทำให้ต้นโอ๊กกลุ่มนั้นเป็นสีทอง ในขณะที่แบคกราวด์เป็นสีน้ำเงินเข้ม แต่ยังไม่ดำไม่มืด ภาพตรงนั้นแทบเป็นภาพเดียวกับ ธีโอดอร์ รุสโซ่ เขียนเอาไว้…